by

กีวี่.. ผลไม้แสนอร่อย

ในยามบ่ายของวันทำงาน ก่อนจะคลายเครียดด้วยการหยิบขนมกรุบกรอบทั้งหลายเข้าปากอย่างเพลิดเพลิน จนกลายเป็นคอเลสเตอรอลและไขมันรอบเอว ลองหันมาเลือกกินของว่างที่อร่อย ดีต่อสุขภาพ และไม่เพิ่มน้ำหนักอย่าง “กีวี” ผลไม้ขึ้นชื่อของประเทศนิวซีแลนด์ที่แม้รูปลักษณ์ภายนอกอาจดูแปลกตา แต่เนื้อในรสหวานอมเปรี้ยวนั้นทำให้ติดใจกันได้ง่ายๆ เลยทีเดียว

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าต้นกำเนิดของกีวี (Kiwi) แท้จริงแล้วคือ ประเทศจีน จนเมื่อมิชชันนารีชาวนิวซีแลนด์เดินทางเผยแผ่ศาสนาคริสต์ จึงได้รู้จักผลไม้อร่อยที่ชื่อว่า “ไชนีส กูสเบอร์รี” และนำกลับไปปลูกที่นิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2407 ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของดิน สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม และการปรับปรุงพันธุ์จนได้รสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้นชาวนิวซีแลนด์จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อผลไม้ชนิดนี้เป็น “กีวีฟรุต” ตามนกกีวี สัญลักษณ์ของประเทศในปี พ.ศ. 2502 เพื่อบ่งบอกว่าเป็นผลไม้คุณภาพที่มาจากประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งขณะนี้เป็นผู้ส่งออกกีวีที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในโลก

กีวี (Kiwi) จะอร่อยมากที่สุดในช่วงเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน มีให้เลือกกินทั้งกีวีเขียว เปลือกสีน้ำตาลอ่อน ผิวนอกมีขนแข็งสั้นๆ รูปทรงไข่ เนื้อในสีเขียว เมล็ดสีดำ รสชาติออกหวานอมเปรี้ยว กีวีทอง เปลือกสีเขียวอ่อน ผิวเรียบนุ่มเหมือนผ้าไหม รูปร่างรีกว่ากีวีเขียว เนื้อในสีเหลือง เมล็ดสีแดงดำ รสชาติออกหวานคล้ายมะม่วงและกีวีออร์แกนิก ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับกีวีเขียวและทองแต่ปลูกในระบบออร์แกนิกร้อยเปอร์เซ็นต์

ก่อนจะลองหยิบกีวีลูกสวยมากิน เรามาทำความรู้จักผลไม้ชนิดนี้กันให้มากขึ้นอีกนิด เพราะนอกจากรสชาติหวานอมเปรี้ยวที่ถูกปากหลายๆ คนแล้ว กีวียังอุดมด้วยคุณค่าสารอาหารมากมาย สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น “ซูเปอร์ฟรุต” เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี ทำหน้าที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินอี ช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน โพแทสเซียมธรรมชาติช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โฟเลตช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง ไฟเบอร์และแอคทินิตินที่ดีต่อระบบย่อยอาหารและลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง ทีสำคัญยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความแก่ รวมทั้งมีน้ำตาลและแคลอรีต่ำ เหมาะมากสำหรับสาวๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เรียกว่ากินได้โดยไร้กังวล

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าต้นกำเนิดของกีวี (Kiwi) แท้จริงแล้วคือ ประเทศจีน จนเมื่อมิชชันนารีชาวนิวซีแลนด์เดินทางเผยแผ่ศาสนาคริสต์ จึงได้รู้จักผลไม้อร่อยที่ชื่อว่า “ไชนีส กูสเบอร์รี” และนำกลับไปปลูกที่นิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2407 ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของดิน สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม และการปรับปรุงพันธุ์จนได้รสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้นชาวนิวซีแลนด์จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อผลไม้ชนิดนี้เป็น “กีวีฟรุต” ตามนกกีวี สัญลักษณ์ของประเทศในปี พ.ศ. 2502 เพื่อบ่งบอกว่าเป็นผลไม้คุณภาพที่มาจากประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งขณะนี้เป็นผู้ส่งออกกีวีที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในโลก

กีวี (Kiwi) จะอร่อยมากที่สุดในช่วงเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน มีให้เลือกกินทั้งกีวีเขียว เปลือกสีน้ำตาลอ่อน ผิวนอกมีขนแข็งสั้นๆ รูปทรงไข่ เนื้อในสีเขียว เมล็ดสีดำ รสชาติออกหวานอมเปรี้ยว กีวีทอง เปลือกสีเขียวอ่อน ผิวเรียบนุ่มเหมือนผ้าไหม รูปร่างรีกว่ากีวีเขียว เนื้อในสีเหลือง เมล็ดสีแดงดำ รสชาติออกหวานคล้ายมะม่วงและกีวีออร์แกนิก ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับกีวีเขียวและทองแต่ปลูกในระบบออร์แกนิกร้อยเปอร์เซ็นต์

ก่อนจะลองหยิบกีวีลูกสวยมากิน เรามาทำความรู้จักผลไม้ชนิดนี้กันให้มากขึ้นอีกนิด เพราะนอกจากรสชาติหวานอมเปรี้ยวที่ถูกปากหลายๆ คนแล้ว กีวียังอุดมด้วยคุณค่าสารอาหารมากมาย สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น “ซูเปอร์ฟรุต” เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี ทำหน้าที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินอี ช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน โพแทสเซียมธรรมชาติช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โฟเลตช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง ไฟเบอร์และแอคทินิตินที่ดีต่อระบบย่อยอาหารและลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง ทีสำคัญยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความแก่ รวมทั้งมีน้ำตาลและแคลอรีต่ำ เหมาะมากสำหรับสาวๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เรียกว่ากินได้โดยไร้กังวล

นอกจากกินสดแล้ว กีวียังนำมาแปรรูปได้หลากหลาย เช่นกีวีอบแห้ง แยมกีวี น้ำกีวี ไวน์จากกีวี ส่วนสาวกของหวานสามารถนำมาดัดแปลงเป็นเค้กกีวี พายกีวี หรือตกแต่งหน้าขนมต่างๆ ก็ยังได้ ทั้งยังประยุกต์เป็นอาหารจานเด็ดได้หลากหลายสไตล์ เช่น สลัด ยำ หรือแม้แต่ใส่ในส้มตำผลไม้ก็ได้

นอกจากนี้สำหรับใครที่คุ้นเคยกับการกินกีวีด้วยการปอกเปลือก แล้วหั่นเป็นชิ้นหรือเป็นแว่นล่ะก็ยังมีวิธีการกินที่แสนง่ายกว่านั้นอีก เพียงแค่ผ่าครึ่งผลกีวีโดยไม่ต้องปอกเปลือก แล้วใช้ช้อนตักเนื้อกีวี เราก็จะได้ลิ้มรสกีวีอย่างสะดวกง่ายดายและรวดเร็ว เหมาะเป็นของว่างยามบ่ายหรือของหวานหลังมื้ออาหารแล้ว

ทั้งคุณประโยชน์มากมายและวิธีกินที่แสนง่าย ครั้งหน้าถ้ากำลังคิดถึงของว่างยามบ่ายในวันที่ต้องการความสดชื่น ลองเลือกกินกีวีที่นำมาสร้างสรรค์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพแบบนี้… ลูกเดียวคงไม่พอ

 เคล็ด (ไม่) ลับกับกีวี่

               การเลือกผลกีวีพร้อมกินทันที ต้องไม่มีจุดด่างดำ รอยซ้ำที่เปลือก ไม่เหี่ยวย่นหรือนิ่มเกินไป และเวลาเลือกไม่ควรบีบตรงกลางผลเพราะจะทำให้ซ้ำควรกดตรงส่วนขั้วและส่วนปลายหรือใช้อุ้งมือจับเบาๆ กีวีที่สุกแล้วจะยุบตัวเล็กน้อยเมื่อใช้นิ้วมือกดหรืออาจจะสังเกตที่เปลือกกีวีสุกผิวเปลือกจะมีสีเข้มขึ้น

การบ่มกีวีให้สุก

ถ้าลองจับผลกีวีแล้วรู้สึกว่าแข็งก็ควรบ่มทิ้งไว้ให้สุกประมาณ 3-5 วัน โดยการวางไว้ในอุณหภูมิห้องหรือใส่ในถุงรวมกับแอปเปิลหรือกล้วย 1 ผล เพราะจะทำให้เกิดก๊าซเอธิลีนธรรมชาติที่ช่วยเร่งให้กีวีสุกเร็วขึ้นได้

หลายคนคงได้รู้จักต้นกำเนิดของกีวี่ วิธีการเลือก และประโยชน์มากมาย อร่อยแถมยังมีประโยชน์มากๆสะด้วย รู้อย่างงี้แล้วไปรีบซื้อมาทานกันดีกว่าคะ

 

ขอบคุณรูปภาพจาก : aswaneew.blogspot.com